ป้ายกำกับ

‘ปีใหม่ งานใหม่? ดูทิศทางลมโลกการทำงานปี 2023 และทักษะที่สำคัญต่ออนาคต กับ TUXSA ป.โทออนไลน์ที่รับรองโดย สป.อว. และ ก.พ.’


 ช่วงที่ผ่านมา เราได้ยินเรื่อง The Great Resignation ที่คนทำงานพร้อมใจกันลาออก โดยมีผลสำรวจชี้แนะว่าหลายคนเลือกย้ายไปสู่งานที่ดีกว่า ซึ่งนั่นทำให้ดูเหมือนอำนาจการต่อรองได้ย้ายมาสู่มือพนักงาน แต่ในปี 2023 นี้ สถานการณ์ยังเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เมื่อโลกยุคนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และยังมีข่าวเรื่องการ Layoff รวมถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่ไม่ขาด

 

ลองมาเรียนรู้ทิศทางโลกการทำงานปี 2023 และทักษะที่คนทำงานควรมีติดตัว เพื่อก้าวสู่อนาคตที่ต้องการได้อย่างมั่นคงสวยงาม

 

เรียนรู้โลก: โลกการทำงานปี 2023 จะหมุนไปทางไหน

 

ในระยะสั้น อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตของคนทำงานพ้นช่วง Honeymoon ที่ลาออกและเปลี่ยนงานได้อย่างที่ต้องการมาแล้ว เพราะเหตุผลอย่างการที่หลายบริษัทอาจยับยั้งการจ้างงานเนื่องจากกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอย นิตยสาร Forbes เองได้วิเคราะห์ตลาดงานอเมริกาในปี 2023 ไว้ว่า คนทำงานจะเปลี่ยนงานบ่อยๆ ได้ยากขึ้น และข้อเสนอดีๆ ก็จะมีน้อยลง

 

อย่างไรก็ตาม พนักงานยังคงมีอำนาจต่อรองในระยะยาว เพราะในหลายประเทศจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ขณะที่มีคนวัยทำงานและผู้อพยพลดลง ทำให้องค์กรจ้างและรักษาพนักงานเอาไว้ได้ยากกว่าเดิม แต่สิ่งที่ควรระวังคือ ตัวเราเองมีศักยภาพพอที่จะต่อรองเมื่อโอกาสมาถึงหรือไม่ เพราะในปัจจุบัน งานรูปแบบเก่าที่คนทำงานคุ้นเคยกำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี พร้อมกับมีงานใหม่ๆ เกิดขึ้น ส่งผลให้คนทำงานที่พัฒนาทักษะตอบโจทย์ตลาดแรงงานไม่ทันต้องตกงาน ขณะเดียวกัน ตลาดก็ขาดแคลนคนเข้ามาทำงานตำแหน่งใหม่เหล่านี้ จนเกิดเป็นปัญหาขาดแคลนแรงงานทั่วโลก

 

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่คนทำงานควรทำคือ การพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่บริษัทยังคงต้องการเสมอ และเมื่อมีโอกาส ก็ก้าวสู่เส้นทางใหม่ได้ทันที แต่ในโลกที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงเร็ว เราควรพัฒนาทักษะอะไรเพื่อตอบโจทย์อนาคต?

 

วิชาชีวิต: ทักษะไหนที่โลกการทำงานอนาคตมองหา 

รายงานจาก World Economic Forum ได้พูดถึงทักษะสำหรับคนทำงานที่น่าสนใจคือ Cross-cutting skills หรือทักษะที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายงาน ด้านล่างนี้คือตัวอย่าง ทักษะแบบ Cross-cutting ซึ่งเป็นที่ต้องการสำหรับกลุ่มงานสำหรับโลกยุคใหม่

  1. Business Management: ทักษะเฉพาะทางในการดำเนินธุรกิจ การวางกลยุทธ์ การบริหารจัดการ และสภาวะการเป็นผู้นำ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจในทีมและองค์กร สามารถนำไปใช้ได้กับกลุ่มงานอย่าง People and Culture และ Marketing 
  2. Data Science: ทักษะการนำข้อมูลซึ่งเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการตัดสินใจทางธุรกิจ มาวิเคราะห์เชิงลึกและคาดการณ์ความเป็นไปได้เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน รวมถึงสร้างความเชี่ยวชาญในการวางนโยบาย และการบริหารจัดการเทคโลยีดิจิทัลเพื่อรองรับข้อมูลจำนวนมาก ทักษะนี้ใช้ได้กับกลุ่มงานอย่าง Data and AI และ Product Development
  3. Product Marketing:  ทักษะการวางแผนเชิงกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าสู่ตลาดและสร้างจุดยืน พร้อมนำเสนอจุดเด่นและเรื่องราวของผลิตภัณฑ์นั้น ทักษะนี้เหมาะกับกลุ่มงานอย่าง Product Development และ Data and AI
  4. Digital Marketing: ทักษะการทำการตลาดบนโลกโซเชียล ใช้ได้กับกลุ่มงานอย่าง Marketing และ Data and AI
  5. Artificial Intelligence: ทักษะด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้เกี่ยวกับระบบประมวลผลของคอมพิวเตอร์ ซึ่งเหมาะกับกลุ่มงานด้าน Data and AI และ Cloud Computing 





จนถึงตอนนี้ คุณคงเห็นแล้วว่า หลายทักษะด้านบนไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเรียนรู้ตอนปริญญาตรี และอีกหลายทักษะคือสิ่งที่ต้องอัปเดตเพื่อตอบโจทย์งานใหม่ๆ ในตลาด คำถามถัดมาคือ เราควรเรียนรู้ ลับคมทักษะเหล่านี้ที่ไหนและด้วยวิธีไหน

 

โรงเรียนชีวิต :  เทรนด์การเรียนรู้ที่ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่

ไม่ใช่แค่โลกการทำงานที่เปลี่ยนไป โลกการศึกษาก็หมุนเร็วเพื่อตอบโจทย์ผู้เรียนให้ทัน ทุกวันนี้ มีการเรียนออนไลน์แบบ Self-Paced Learning ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเรียนเมื่อไรก็ได้ตามจังหวะของตัวเอง ผู้เรียนไม่ต้องจัดเวลาตามตารางของสถานศึกษาหรือลาออกจากงานประจำเพื่อเรียนต่อ 

 

นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรออนไลน์ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังร่วมทำกับเอกชนที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ช่วยให้เราเข้าถึงความรู้จากสถานศึกษาคุณภาพได้สะดวก โดยรูปแบบการเรียนที่มีทั้งเรียนเพื่อรับประกาศนียบัตร และเรียนเพื่อรับปริญญาออนไลน์ ซึ่งมีศักดิ์และสิทธิ์ไม่ต่างจากปริญญาจากการเรียนในสถานที่จริง อาทิ TUXSA หลักสูตรปริญญาโทออนไลน์แบบ Self-paced โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ SkillLane แพลตฟอร์มเรียนออนไลน์อันดับ ของไทย ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งมอบทักษะที่สำคัญสำหรับอนาคตให้คนไทย โดยมีหลักสูตรที่สามารถเลือกเรียนได้ทั้งแบบรายวิชาที่สนใจและแบบปริญญาเต็มหลักสูตร ปัจจุบันเปิดสอนอยู่ สาขาวิชาคือ

  • ปริญญาโทบริหารธุรกิจ สาขา Business Innovation: เป็นหลักสูตรที่ผ่านการรับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) และได้รับการรับรองคุณวุฒิของผู้สำเร็จการศึกษาจากสำนักงาน ก.พ.
  • ปริญญาโท Data Science for Digital Business Transformation: ผ่านการรับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.)

 




หลังการเปิดตัวโครงการในปี 2019 TUXSA กลายเป็นที่นิยมของผู้เรียน มีผู้ลงเรียนแล้วกว่า 18,000 คน และมีนักศึกษารุ่นแรกจบการศึกษาเป็นมหาบัณฑิตแล้ว รวมถึงในอนาคตกำลังจะมีเปิดสอนเพิ่มอีก หลักสูตรคือปริญญาโทศึกษาศาสตร์สาขาวิชา นวัตกรรมการเรียนรู้ M.Ed. (Learning Innovation) และปริญญาโท Applied AI

 

ถึงโลกการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คนไทยที่อยากเพิ่มหรือลับคมทักษะจึงมีช่องทางเข้าถึงความรู้รับมือโลกอนาคตอยู่เสมอ บนโลกออนไลน์ใกล้ตัวเรานั่นเอง 

    

อ่านละเอียดเพิ่มเติมของ TUXSA ได้ที่ https://www.skilllane.com/academic/tuxsa

ผู้นำคนใหม่แห่งซัมซุงประเทศไทย



ซัมซุง ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ขึ้นรับตำแหน่งสำคัญของบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด โดยแต่งตั้ง นางสาวเจนนิเฟอร์ ซอง ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ซึ่งดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมดของซัมซุงในประเทศไทย รวมไปถึงเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา พร้อมทั้งแต่งตั้งนายมาร์ค คิม ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานองค์กร ธุรกิจโมบายล์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ ซึ่งมีบทบาทในการบริหารดำเนินงานและขับเคลื่อนธุรกิจสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แวร์เอเบิล ใน 4 ประเทศเช่นกัน รวมทั้งสานต่อการเป็นผู้นำตลาดอันดับหนึ่งในประเทศไทยและสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง



ปัจจุบัน นางสาวเจนนิเฟอร์ ซอง ได้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทของซัมซุงด้วยประสบการณ์การทำงานอันยาวนานในด้านการยกระดับสมาร์ทไลฟ์สไตล์ให้กับผู้บริโภคชาวไทย รวมทั้งการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีงามของแบรนด์ให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยบทบาทใหม่ในครั้งนี้ นางสาวเจนนิเฟอร์ ซอง มุ่งเน้นที่จะนำพาองค์กรก้าวข้ามความท้าทายและการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ วัน ด้วยการส่งต่อวิสัยทัศน์ One Samsung ตลอดจนทำให้ซัมซุงเป็นแบรนด์ที่ใกล้ชิดกับผู้คนได้มากกว่าเดิม เพื่อสร้างพลังและจุดประกายให้ผู้บริโภคชาวไทยเติมเต็มการใช้ชีวิตทุกมิติ ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุดที่สามารถทำให้ทุกคนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้มากยิ่งขึ้น ปรับแต่งดีไซน์ได้ตามใจชอบมากขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับความยั่งยืน ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกในอนาคตต่อสังคมไทยและโลกใบนี้ยิ่งกว่าที่ผ่านมา



ขณะที่นายมาร์ค คิม ประธานองค์กร ธุรกิจโมบายล์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ คนล่าสุด ได้เปี่ยมล้นไปด้วยประสบการณ์การทำงาน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในบทบาทของการดำรงตำแหน่งประธานบริษัทซัมซุงในประเทศสิงคโปร์ รวมทั้งประสบการณ์ด้านการดำเนินธุรกิจในตลาดสมาร์ทโฟนมากกว่า 20 ประเทศ และด้วยทักษะการวิเคราะห์ธุรกิจที่แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในการพัฒนากลยุทธ์ในด้านต่างๆ นายมาร์คตั้งใจที่จะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมสำหรับโทรศัพท์มือถือ การขายผลิตภัณฑ์ซัมซุงบนแพลนฟอร์มใหม่ๆ รวมทั้งการสร้างสรรค์และริเริ่มกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะมาพลิกผันและท้าทายตลาดสมาร์ทโฟนในปัจจุบันได้อย่างสิ้นเชิง


ในส่วนของนายแฮร์รี่ ลี อดีตผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ได้เข้ารับบทบาทใหม่ที่บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ เพื่อดูแลกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์จอภาพของซัมซุงในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด โดยตลอดระยะเวลาสองปีที่นายแฮร์รี่ได้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท องค์กรได้บรรลุเป้าหมายและได้รับความสำเร็จมากมาย รวมถึงสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำเร็จในการเปิดตัวสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้ ที่บุกเบิกหมวดหมู่ใหม่ของตลาดโทรศัพท์มือถือทั้งหมด สร้างนิยามใหม่และยกระดับศักยภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภค Gen MZ ในประเทศไทยด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยแห่งยุค

ซัมซุง เผยแผน “Bringing Calm to Our Connected World” ตอบโจทย์วิสัยทัศน์เชื่อมโยงนวัตกรรมกับความยั่งยืน คือเป้าหมายหลักของซัมซุงในงาน CES 2023

 

นายจองฮี ฮาน (Jong-Hee (JH) Han), Vice Chairman, CEO and Head of DX (Device eXperience) Division at Samsung

บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด จุดประกายแรงบันดาลใจและสร้างวิถีแห่งอนาคตด้วยความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานของซัมซุงมาโดยตลอด ล่าสุด นายจองฮี ฮาน (Jong-Hee (JH) Han), Vice Chairman, CEO and Head of DX (Device eXperience) Division at Samsung ได้นำเสนอแนวคิดเพื่อ “นำความสงบมาสู่โลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน - Bringing Calm to Our Connected World” ตอบโจทย์วิสัยทัศน์เชื่อมโยงนวัตกรรมกับความยั่งยืน คือเป้าหมายหลักของซัมซุงในงาน CES 2023 ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้านี้ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ผู้บริโภคในจุดมุ่งหมายก้าวต่อไปของซัมซุงมากยิ่งขึ้น

 

นายจองฮี ฮาน กล่าวว่า “เราอาศัยอยู่ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วยิ่ง เราจำเป็นต้องเดินทางอยู่บนน่านน้ำที่ไม่เคยสำรวจมาก่อน น่านน้ำที่ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไป ทั้งเทคโนโลยีและการตลาด ไปจนถึงผู้บริโภค และเรายังเผชิญกับความท้าทายอื่นๆ อีก ทั้งโรคระบาดและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เหตุผลต่างๆ ที่กล่าวมาส่งผลให้ “สิ่งแวดล้อม” และ “ประสบการณ์” ด้านวิธีการใช้ชีวิตของพวกเราแต่ละคนมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และความกังวลของเราต่อการสร้างอนาคตที่มีความยั่งยืนมากขึ้นก็เป็นอีกสิ่งที่เราต้องคิดคำนึงมากขึ้น ผมเชื่อมั่นว่า ซัมซุงในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องใช้ฟ้าในครัวเรือน รวมไปถึงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีหน้าที่จะต้องสร้างห่วงโซ่คุณค่าของการตระหนักรู้ทางสิ่งแวดล้อมโดยอาศัยผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของเรา และซัมซุงยังต้องมอบประสบการณ์ต่างๆ ที่มีคุณค่ามากขึ้นและมีคุณภาพยิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภคทุกๆ คน”

 

จากหน้าที่ที่กล่าวไปข้างต้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ซัมซุงให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยั่งยืน อันถือเป็นคุณค่าที่จำเป็นและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งต่อธุรกิจของซัมซุง โดยในงาน CES 2023 ซึ่งจะจัดในเดือนมกราคม ที่จะถึงนี้ ซัมซุงจะนำเสนอแนวคิดเพื่อ “นำความสงบมาสู่โลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน - Bringing Calm to Our Connected World” ซึ่งจะกล่าวถึงความรับผิดชอบต่างๆ ของเราและวิสัยทัศน์ที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว นอกจากนี้ ซัมซุงยังจะนำเสนอหนทางที่เราจะดำเนินไปเพื่อช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและรุ่งเรืองอีกด้วย

 

นอกจากนี้ ซัมซุงจะนำเสนอประสบการณ์ของ SmarThingsในรูปแบบที่ใหม่และขยายกว้างยิ่งกว่าเดิม ผสานระบบต่างๆ ในบ้านของผู้บริโภคได้อย่างราบรื่นขึ้น พร้อมด้วยการนำเสนอวิธีที่ง่ายและปลอดภัยกว่าเดิมเพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เข้าด้วยกัน รวมถึงการสร้างประสบการณ์การใช้งานแบบเฉพาะตัวของผู้ใช้แต่ละคนอย่างแม่นยำยิ่งขึ้นจากการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซัมซุงยังทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในระดับอุตสาหกรรมหลายรายเพื่อผสานประสบการณ์ของ SmarThings อันจะช่วยสร้างหนทางใหม่ๆ เพื่อสร้างและใช้งานเครือข่ายของอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดตามความชอบและวิถีชีวิตของผู้ใช้งานแต่ละคน

 

อนาคตที่ยั่งยืนในยุคที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงกัน

ซัมซุงให้ความสำคัญกับหนทางที่เทคโนโลยีจะสามารถช่วยลดความไม่สะดวกหรือปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างวิถีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น ซัมซุงยังคงมุ่งมั่นจะค้นหาวิธีการที่จะมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิมโดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและมีเทคโนโลยีอันล้ำสมัย นับตั้งแต่ซัมซุงได้ประกาศกลยุทธ์ใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซัมซุงได้เน้นย้ำแผนการที่จะมีส่วนร่วมต่อการลดผลกระทบจากวิกฤติด้านสภาวะอากาศโดยใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัย อันหมายรวมถึงการใช้สารกึ่งตัวนำที่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำและผลิตภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ซัมซุงยังประกาศเป้าหมายที่จะเป็นองค์กรที่มีอัตราการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงการประหยัดพลังงานโดยใช้ SmarThings และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของซัมซุงที่จะยึดมั่นต่อเป้าหมายด้านความยั่งยืนและการสร้างคุณค่าในแบบใหม่ นอกจากนี้ ซัมซุงยังมีส่วนร่วมกับโครงการต่างๆ เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้านการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมกับองค์กรและภาคส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งองค์การระดับนานาชาติ ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และประชากรอีกจำนวนมาก อีกทั้งซัมซุมยังร่วมเป็นคณะกรรมการผลักดันของพันธมิตรด้านพลังงานสะอาดของเอเชีย (Asia Clean Energy Coalition - ACEC) ร่วมกับบริษัทชั้นนำระดับโลกและองค์กรไม่แสวงหากำไรต่างๆ เพื่อส่งเสริมการสร้างและใช้งานพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ฐานการผลิตต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย

 

และในการประชุมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของสหประชาติครั้งที่ 27 ซัมซุงยังร่วมเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมสารกึ่งตัวนำเพื่อสภาวะอากาศ (Semiconductor Climate Consortium - SCC) การก่อตั้งสมาคมนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างและดำเนินการตามแผนเพื่อลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากธุรกิจสารกึ่งตัวนำ สร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก และสนับสนุนวิสาหกิจเกิดใหม่ด้านเทคโนโลยีสะอาด ซัมซุงจะยังคงมุ่งมั่นสานต่อโลกที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงกัน และเสริมพลังให้ผู้บริโภคเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของซัมซุ

 

อีกก้าวสำคัญของมนุษย์ กับวิถีทางเพื่อความยั่งยืนของซัมซุง

นายจองฮี ฮาน ได้กล่าวย้ำว่า “ในขณะที่ซัมซุงพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อผู้บริโภค เรามักจะตั้งคำถามเสมอๆ ว่า “เราควรจะทำอย่างไร?” แทนที่จะตั้งคำถามว่า “เราสามารถทำอะไรได้?” เพราะซัมซุงเชื่อว่าเทคโนโลยีสามารถเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนติดต่อสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กับโลก ช่วยให้วิถีชีวิตของผู้บริโภคดียิ่งขึ้น และแนวคิดนี้ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม ในงาน CES 2023 ซัมซุงจะนำเสนอวิธีที่ล้ำหน้าต่างๆ นอกเหนือจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยม และเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า ยิ่งไปกว่านี้ ซัมซุงยังจะนำเสนอประสบการณ์ใหท่ๆ ผ่านเทคโนโลยี อันจะช่วยให้วิถีชีวิตของผู้คนและโลกดียิ่งกว่าเดิม

ซื้อตั๋วรถไฟด้วย ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้แล้ว

 



การรถไฟแห่งประเทศไทย เพิ่มทางเลือกการซื้อตั๋วโดยสาร ผ่านการสแกนจ่ายด้วย ทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ช่องจำหน่ายตั๋วทุกสถานีรถไฟทั่วประเทศไทย(ผ่านเครื่องสแกนคิวอาร์โค้ดโดยผู้ใช้บริการสามารถดาวน์โหลดระบบการจ่ายค่าตั๋วรถไฟด้วย ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ทั้ง Play Store และ App Store รองรับการใช้งานได้ถึง 4 ภาษา ทั้ง ไทย  อังกฤษ พม่า และกัมพูชา พร้อมให้บริการแล้ววันนี้”




ที่ผ่านมา ทรูมันนี่ ได้ขยายบริการด้านการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อมอบความสะดวกสบายและเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมทางการเงินที่สอดคล้องไปกับชีวิตประจำวัน รวมทั้งเรื่องของการเดินทาง โดยรองรับการชำระค่าเดินทางทั้งในส่วนการเติมเงินบัตร Easy Pass สำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว รวมไปถึงระบบขนส่งสาธารณะด้วยการเติมเงินในบัตร MRT จนมาถึงการเปิดให้สแกนจ่ายเพื่อซื้อตั๋วรถไฟในครั้งนี้



ผู้เดินทางสามารถซื้อตั๋วรถไฟโดยจ่ายด้วยแอปพลิเคชัน ทรูมันนี่ วอลเล็ท ณ เคาน์เตอร์การรถไฟแห่งประเทศไทยทั่วประเทศได้แล้ววันนี้ เพียงเปิดแอปและไปทื่เมนู “จ่ายเงิน” เพื่อเปิดคิวอาร์และบาร์โค้ดให้เจ้าหน้าที่สแกนเพื่อดำเนินการชำระเงิน 

 

พิเศษ! รับเงินคืนทันที 30% สูงสุด 30 บาท* เมื่อซื้อตั๋วรถไฟที่เคาเตอร์จำหน่ายและจ่ายด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 ธันวาคม ศกนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.truemoney.com/railway-ticket/ หรือเว็บไซต์ www.truemoney.com

ซัมซุงทำสถิติการเปิดตัวที่เร็วที่สุดในการอัพเดท Android 13 และ One UI 5 พร้อมฟีเจอร์ Personalize Lock Screen

 


ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ปล่อยอัปเกรดระบบปฏิบัติการ Android 13 และ One UI 5 ใหม่ล่าสุดให้กับสินค้า Samsung Galaxy สำเร็จแล้วกว่า 45 รุ่นทั่วโลกภายในเวลาเพียงไม่ถึง เดือน ซึ่งนอกเหนือจากสมาร์ทโฟนระดับ Flagship แล้ว สมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ อย่าง Galaxy A22 5และ Galaxy M33 5G ก็ได้รับการอัปเกรดด้วยเช่นกัน นับเป็นกระบวนการปล่อยอัปเกรดระบบปฏิบัติการที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่ซัมซุงเคยดำเนินการมา โดยเร็วกว่าเมื่อครั้งที่ปล่อย One UI เวอร์ชันแรกเมื่อปี 2561 เกือบ เท่าตัว นอกจากนี้ระยะเวลาในการเปิดอัปเกรดซอฟท์แวร์ให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างเป็นพิเศษก็รวดเร็วขึ้นเช่นกัน โดยระยะเวลาในการปล่อย     อัปเกรด One UI 5 สำหรับสมาร์ทโฟน Galaxy Z Fold และ Galaxy Z Flip ลดลงเหลือเพียงไม่ถึง สัปดาห์

 

ในช่วงสัปดาห์จากนี้ไปจะมีผู้ใช้ซัมซุงที่ได้รับการอัปเกรดระบบปฏิบัติการเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากซัมซุงกำลังเร่งปล่อยอัปเดต One UI 5 ให้กับสินค้ารุ่นอื่นๆ ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น รวมถึงสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตระดั Flagship รุ่นเก่า โดยตั้งเป้าจะปล่อยอัปเกรดให้กัสินค้ารุ่นที่รองรับให้ครบถ้วนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้

 

One UI เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2561 และได้ปูทางให้กับการสร้างสรรค์ประสบการณ์การใช้งานที่มีความเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น ตลอดจน Interface ที่สอดคล้องกันในอุปกรณ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และ แวร์เอเบิล ระบบปฏิบัติการที่ปล่อยออกมาในครั้งนั้นถือได้ว่าเป็ ซอฟท์แวร์ของสมาร์ทโฟนที่ซัมซุงมุ่งมั่นทุ่มเทมากที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา เนื่องจากต้องมีการปรับแต่งมากมายเพื่อให้สอดคล้องกับผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละรายและตลาดต่างๆ ทั่วโลก นับตั้งแต่การเปิดตัวดังกล่าวจนถึงวันนี้ ซัมซุงได้สร้าง One UI ไปแล้วประมาณ 1,000 เวอร์ชัน

 

ในส่วนของการอัปเกรดครั้งล่าสุดนี้ การพัฒนา One UI 5 สำหรับสมาร์ทโฟน Galaxy S และ Galaxy ดำเนินไปพร้อมๆ กันเพื่อปรับปรุงครงสร้างซอฟท์แวร์ให้มีความปราดเปรียวกับระบบ แพลตฟอร์ม และแอปต่างๆ เพื่อการปล่อยออกมาให้ใช้งานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังร่นระยะเวลาในการปล่อยอัปเกรดสำหรับสมาร์ทโฟน Galaxy และอุปกรณ์หน้าจอขนาดใหญ่ให้ยิ่งสั้นลง โดยได้มีการแบ่งปันดีไซน์ใหม่ของระบบปฏิบัติการนี้ให้ Google ทราบล่วงหน้า ส่งผลให้เกิดการร่วมมือที่นำมาซึ่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญ อาทิ การใช้งานหลายหน้าต่างพร้อมกัน (Multi-window) และเทคโนโลยีจอพับ

 

นอกจากการมอบประสบการณ์บนสมาร์ทโฟน ที่ใหม่ล้ำสู่ผู้ใช้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว ซัมซุงยังมุ่งสร้างหลักประกันว่ประสบการณ์การใช้งานจะต้องปรับเปลี่ยนได้ตามใจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน ขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการอัปเดต One UI คือการเปิดโครงการ One UI เวอร์ชันทดสอบการใช้งาน (Beta) เพื่อรวบรวมข้อคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมโครงการเกี่ยวกับประสบการณ์บนสมาร์ทโฟนของพวกเขาที่ได้รับ ซึ่งในการอัปเดต One UI ทั้ง รุ่น ที่มีผู้ใช้ Galaxy เข้าร่วมโครงการทดสอบแบบสาธารณะ (Open Beta) ประมาณ 500,000 ราย
ทำให้ได้รับข้อคิดเห็นกว่า 
350,000 ข้อ และได้ถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงประสบการณ์โดยรวมบนสมาร์ทโฟน Galaxy ในปัจจุบัน

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

รายชื่อสมาร์ทโฟน Galaxy ที่ได้รับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ Android 13 และ One UI 5 (วันที่ ธันวาคม 2565)

  • Galaxy Z Fold 4 / 3 / 2
  • Galaxy Z Flip 4 / 3
  • Galaxy Z Flip
  • Galaxy Z Flip 5G
  • Galaxy S22 series
  • Galaxy S21 series
  • Galaxy S20 series
  • Galaxy S10 Lite

  • Galaxy Note 20/Note 20 Ultra
  • Galaxy Note 10 Lite

  • Galaxy Tab S8 series
  • Galaxy Tab S7

  • Galaxy A53 5G
  • Galaxy A33 5G
  • Galaxy A73 5G
  • Galaxy A72
  • Galaxy A71
  • Galaxy A52 / 52 5G / 52s 5G
  • Galaxy A51 / 51 5G
  • Galaxy A42 5G
  • Galaxy A32 LTE/5G
  • Galaxy A23 LTE/5G
  • Galaxy A22 / 22 5G
  • Galaxy A13 5G

  • Galaxy M62
  • Galaxy M53 5G
  • Galaxy M52 5G
  • Galaxy M42 5G
  • Galaxy M33 5G
  • Galaxy M32 / 32 5G
  • Galaxy M22

  • Galaxy F62
  • Galaxy F42 5G
  • Galaxy Xcover 6 Pro
  • Galaxy Xcover 5
  • Galaxy Quantum 2

OPPO เปิดอัปเดต ColorOS 13 เร็วที่สุดประวัติศาสตร์ของ ColorOS พร้อมรับประกันการอัปเดต ColorOS ยาวนานขึ้น

 

OPPO ประกาศเปิดอัปเดต ColorOS 13 อย่างเป็นทางการ เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าในประวัติศาสตร์ของระบบปฏิบัติการ นอกจากนี้ บริษัทยังขยายนโยบายการอัปเดต สำหรับ ColorOS เพื่อรับประกันการอัปเกรด Android หลัก ครั้งพร้อมแพตช์ความปลอดภัย ปีสำหรับรุ่นแฟลกชิปบางรุ่นในปี 2566 

ColorOS 13 คือระบบปฏิบัติการ Android ล่าสุดจาก OPPO โดยออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่เรียบง่ายและสะดวกสบายด้วยการออกแบบแบบ Aquamorphic ใหม่ล่าสุด รวมถึงชุดฟีเจอร์ที่น่าประทับใจ เช่น Smart AOD, Multi-Screen Connect และ Home Screen Management พร้อมมอบประสบการณ์ที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรให้แก่ผู้ใช้ทั่วโลก 

นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565 ได้มีการติดตั้ง ColorOS 13 ในสมาร์ตโฟน 33 รุ่นทั่วโลก ทำให้การอัปเดตครั้งนี้นับเป็นการอัปเดตที่เร็วที่เร็วและใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ColorOS โดยในช่วงเวลา เดือนหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ มีสมาร์ตโฟนมากกว่า 50% ของรุ่นที่รองรับ ColorOS 13 (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม - 18 ธันวาคม 2564) เมื่อเทียบกับ ColorOS 12 (ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2564 ถึง 11 กุมภาพันธ์ 2565) มีผู้ใช้งานมากขึ้น เท่าในช่วงการเปิดตัว ColorOS 13 ทั่วโลก เมื่อเทียบกับ ColorOS 12 ในช่วงเวลาเดียวกัน


 OPPO ยังประกาศนโยบายการอัปเดต ColorOS ใหม่ อย่างความมุ่งมั่นในการรับประกันการอัปเดต ColorOS หลัก ครั้งพร้อมแพตช์ความปลอดภัย ปีสำหรับผู้ใช้ทั่วโลกในรุ่นแฟลกชิปบางรุ่นโดยเริ่มในปี 2566 OPPO มีเป้าหมายที่จะมอบประสบการณ์อัจฉริยะที่ยาวนานและเสถียรยิ่งขึ้นแก่ผู้ใช้ทั่วโลกโดยการต่อยอด Color OS

หัวเว่ย ประเทศไทย ผนึกกำลังสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็ก จัดสัมมนา “Thailand Talent Talk ครั้งที่ 4” มุ่งบุคลากรด้านดิจิทัล

 
บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด และสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็ก (GCNT) ร่วมกันจัดงานสัมมนา Thailand Talent Talk ครั้งที่ 4: ขับเคลื่อนแรงงานทักษะขั้นสูงในอุตสาหกรรม มุ่งสู่ประเทศไทยสังคมคาร์บอนต่ำ (Powering an Upskilled Industry Workforce towards a Low-Carbon Thailand)” ซึ่งนับเป็นการสัมมนาสุดท้ายในซีรีส์ของงานสัมมนาภายใต้หัวข้อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยในงานครั้งนี้ ตัวแทนจากกระทรวงพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเร่งบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลรุ่นใหม่ รวมทั้งประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยสนับสนุน

การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายด้านความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี (Carbon Neutrality) 2050

อุตสาหกรรม 4.0 และโควิด-19 ได้เร่งความจำเป็นในด้านการเพิ่มศักยภาพและความพร้อมของบุคลากรในประเทศไทยเพื่อรองรับอนาคต โดยหากอ้างอิงจากข้อมูลในสมุดปกขาว “การพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลของประเทศไทย (Thailand National Digital Talent Development)” ซึ่งหัวเว่ยได้พัฒนาร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม ว่าหากไม่มีการเตรียมแนวทางใด ๆ ในการรองรับ ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากรถึง 500,000 คนในปี พ.. 2573 โดยในช่วงที่เกิดสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 กระบวนการการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม และยังเป็นการปูทางสู่โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ หัวเว่ยและสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็ก ได้ร่วมกันจัดงานสัมมนาภายใต้ชื่อ Thailand Talent Talk ตลอดปี พ.. 2565 รวม 4 ครั้งด้วยกัน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างในการคุยถึงความท้าทายต่าง ๆ แนวทางการปฏิบัติ และเส้นทางในการบ่มเพาะในการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืน โดยหัวข้อของการสัมมนาครอบคลุมเรื่องความท้าทายทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงเรื่องความเท่าเทียมทางดิจิทัล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ เอสเอ็มอี และการเติบโตของสตาร์ทอัพ

ในงานสัมมนาครั้งที่ 4 นี้ ทางหัวเว่ยและพันธมิตรได้เน้นย้ำว่าเทรนด์ด้านพลังงานของประเทศไทยในอนาคตจะมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ซึ่งทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องรวมพลังกันเพื่อสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลที่เต็มไปด้วยศักยภาพด้านการเติบโต เพื่อรองรับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอนาคต นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และการเตรียมแพลตฟอร์มที่เหมาะสมสำหรับสถานที่ทำงานในอนาคตอย่างมีกลยุทธ์ หัวเว่ยได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยมุ่งให้ความสำคัญในด้านดิจิทัลพาวเวอร์ นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการบ่มเพาะระบบนิเวศด้านดิจิทัลให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผ่านการพัฒนาบุคลากรด้านไอซีทีรุ่นใหม่สำหรับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้ 


ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กระทรวงพลังงาน

จากมุมมองของผู้กำหนดนโยบายในระดับมหภาค ดร.พูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวถึงความท้าทายและโอกาสที่สำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านด้านการใช้พลังงาน รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพด้านนวัตกรรมของประเทศไทยว่า "ด้วยกระแสของการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความสนใจทั่วโลกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เราก็ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ทุกภาคส่วนต่างเร่งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการลดผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยจึงเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ประกาศแผนระดับชาติในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) โดยตั้งเป้าภายในปี ค.ศ. 2050 ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26โดยกระทรวงพลังงานมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จะต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงองค์กรต่างประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีร่วมกันได้ในที่สุด"



ในส่วนของความเห็นจากทางด้านสถาบันศึกษาและการวิจัย ดร. พิมพ์สุภา เกาะช้าง นักวิจัยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า "ทัศนคติถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากหากคนในประเทศไทยเข้าใจถึงประโยชน์ที่พลังงานทางเลือกซึ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สามารถส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขา เป้าหมายด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศก็จะสามารถเป็นจริงขึ้นมาได้ ทั้งนี้ การสื่อสารถือเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องดังกล่าว ในฐานะตัวแทนจากสถาบันการศึกษาระดับสูง เราจะมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลและจับมือเป็นพันธมิตรกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องอย่างหัวเว่ย รวมทั้งรับการสนับสนุนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยให้คนรุ่นใหม่มีทักษะที่พร้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานหมุนเวียนซึ่งกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า


นายอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI)

นอกจากมุมมองจากทางฝั่งของภาครัฐและภาคการศึกษา อุตสาหกรรมดิจิทัลก็จำเป็นต้องผนึกกำลังกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อสร้างระบบนิเวศเต็มของนวัตกรรมและเทคโนโลยีในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยนายอาทิตย์ เวชกิจ รองประธานกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต้องขอบคุณความพยายามในการร่วมมือและความมุ่งมั่นของหัวเว่ยที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ถือเป็นประเด็นหลักที่สภาอุตสาหกรรมต้องเผชิญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากสิ่งนี้วงผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลก ต่อคนทั่วไป รวมถึงต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย  ซึ่งทำให้เราต้องการบุคลากรด้านดิจิทัลที่มีความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมากขึ้น ทั้งนี้ ทางสภาอุตสาหกรรมจะทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกราย มหาวิทยาลัยต่าง ๆ และหัวเว่ย ประเทศไทย ในการช่วยเพิ่มทักษะและบ่มเพาะบุคลากรด้านไอซีทีให้มากขึ้น เพื่อรองรับกับอนาคตด้านดิจิทัลของประเทศ


นางสาวธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ GCNT (Global Compact Network Thailand)

นางสาวธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการ สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ GCNT (Global Compact Network Thailand) ยังได้แสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “แนวทางการดำเนินงานและแพลตฟอร์มสำคัญซึ่งจะช่วยทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งนวัตกรรมและคาร์บอนต่ำ ประกอบไปด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและโครงการเพื่อความยั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาความสามารถในการคิดเชิงออกแบบเพื่อมุ่งสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG" หรือ เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) เราต้องการผู้ที่มีความสามารถในการคิดค้นโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนการอำนวยความสะดวกต่อการสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดคาร์บอนและพลังงาน เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ดีที่สุด ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัลในอนาคตของประเทศ”



หัวเว่ย ประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้นำในด้านโซลูชันโซลาร์และไอซีทีชั้นนำระดับโลก ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการก้าวเข้าสู่อนาคตที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม โดยที่หัวเว่ยมุ่งมั่นใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญที่มีในอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนองค์กรและภาคสังคมต่าง ๆ ให้มากขึ้น อีกทั้งยังเร่งการส่งเสริมการพัฒนาทักษะให้แก่บุคลากรผ่านโครงการ Huawei ASEAN Academy ซึ่งได้ฝึกอบรมบุคลากรไอซีทีไปกว่า 60,000 คน และธุรกิจเอสเอ็มอี 2,600 ราย ทั้งนี้ หัวเว่ยมองว่าเรื่องสังคมคาร์บอนต่ำจะเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนทุกคน ซึ่งทำให้เราจำเป็นต้องมีคนที่มีทักษะเฉพาะทางเพื่อตอบโจทย์ในด้านนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ หัวเว่ยมองว่าทางมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเองก็มีการออกแบบหลักสูตรให้มีความบูรณาการและมีความเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทางด้านโครงสร้างพื้นฐานก็ต้องมีความพร้อม ต้องมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และมีเทคโนโลยีที่รองรับเช่นกัน โดยหัวเว่ยมองว่าเทคโนโลยีของหัวเว่ยจะสามารถช่วยสร้างสังคมคาร์บอนต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหัวเว่ยยังมีความเชี่ยวชาญในส่วนธุรกิจพลังงานดิจิทัล และมีแพลตฟอร์มที่พร้อมจะให้พาร์ทเนอร์รายอื่น ๆ เข้ามาใช้งานร่วมกันได้ เพื่อร่วมกันผลักดันการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน ทั้งนี้ นายสุธี ไตรวิวัฒนา เจ้าหน้าที่กลยุทธ์ธุรกิจพลังงานดิจิทัล บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยถึงกลยุทธ์และข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ในงานสัมมนาครั้งนี้ด้วย



งานสัมมนา Thailand Talent Talk เป็นงานสัมมนาซึ่งจัดขึ้น ครั้ง ตลอดทั้งปี พ.. 2565 โดยความร่วมมือกับสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย หรือ GCNT ซึ่งมีหัวข้อนำเสนอครอบคลุมในหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นด้านความเท่าเทียมทางดิจิทัล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และกลุ่มเอสเอ็มอี โดยงานสัมมนา Thailand Talent Talk ได้รวบรวมพันธมิตรจากภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันนำเสนอแนวทางการรับมือกับความท้าทายในปัจจุบันและค้นหาทิศทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับประเทศไทย ในการก้าวสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน

เนื่องจากหัวเว่ยได้รับการผลักดันจากพันธกิจ “เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย” มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 23 ปี ในอนาคต หัวเว่ยจะยังมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้สนับสนุนหลักในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อการเสริมสร้างประเทศไทยคาร์บอนต่ำที่มีความอัจฉริยะและเชื่อมโยงถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบ หัวเว่ยจะมุ่งทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย ลูกค้า และพันธมิตรต่าง ๆ ต่อไป เพื่อผนึกเทคโนโลยีดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์กำลัง (power electronics) เข้ากับการผลิต การส่งพลังงาน และการใช้งานพลังงานไฟฟ้าต่อไป

TCL เปิดตัวสมาร์ทโฟน TCL 40 Series เริ่มต้นแค่ 2,499 บาท พร้อมลุ้นของรางวัล Smart TV 40 นิ้ว!!

กลับมาทำตลาดสมาร์มโฟนอีกครั้ง สำหรับแบรนด์ TCL ที่ครั้งนี้มาแบบราคาเบา แต่คุ้มค่า โดยได้เปิดตัว TCL 40 Series เริ่มต้นเพียง 2,499 บาท แถมลุ้นรับ TCL Android TV 55 นิ้ว!

TCL มาภายใต้คอนเซปต์ TCL Unlock the GREATNESS, Unbox your PHONES เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงการปลดล็อกและก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ไปอีกขั้น ด้วยสินค้าสมาร์ทโฟนมาตรฐานระดับสากล พร้อมส่งมอบ TCL 40 Series 3 รุ่น ได้แก่ TCL 40SE, TCL 405 และ TCL 403 อีกทั้ง TCL ร่วมกับพันธมิตรมืออาชีพอย่าง SYNNEX ที่ดูแลเรื่องการบริการหลังการขายอย่างครบวงจร ซึ่งจะประกอบด้วยศูนย์บริการหลังการขาย 11 แห่ง บริการรับส่งเครื่องซ่อมถึงหน้าประตูครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย รวมถึงบริการโทรสายด่วน SYNNEX Care 1251 ด้วย


เริ่มที่ TCL 403 น้องเล็ก คุ้มไม่ไหว จอใหญ่ ใช้ทน!

หน้าจอขนาด 6 นิ้ว มีโหมดถนอมสายตา เช่น โหมดอ่านหนังสือ ทำงานบนระบบ Android และหน่วยประมวลผล : Core X4 มีหน่วยความจำ RAM 2GB / ROM 32GB เพิ่มได้สูงสุด 512GB 
กล้องหลังขนาด 8MP สามารถใช้เป็นกล้องมาโครได้ กล้องหน้าขนาด 5MP และล้ำขึ้นอีกด้วยเทคโนโลยีการปลดลอคหน้าจอได้ด้วยใบหน้า



TCL 403 ใช้แบตเตอรี่ขนาด 3000mAh พร้อมโหมดประหยัดพลังงานเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ถึง 20% และยังสามารถถอดเปลี่ยนแบตฯได้เอง

TCL 403 มีทั้งสีม่วง Mauve Mist และสีดำ Dark Black จำหน่ายในราคา 2,499 บาทเท่านั้น


TCL 405 คุ้มเวอร์! กล่องคู่ ลำโพงคู่

สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกล้องคู่ ถ่ายภาพหน้าชัดหลังละลายได้ยอดเยี่ยม ลำโพงสเตอริโอคู่ เสียงดังกระหึ่ม และมีดีไซน์เรียบหรูแต่ทนทานกับดีไซน์แบบ 2.5 มิติ พร้อมเนื้อสัมผัสที่มีเอกลักษณ์ ทำให้สวยสง่าและจับถนัดมือยิ่งขึ้น ทั้งยังมาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ 6.6 นิ้ว ความคมชัดระดับ HD+ อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 89.1% ภาพใหญ่เต็มตาก็ว่าฟินแล้ว แต่ยังสนุกตื่นเต้นยิ่งขึ้นด้วยลำโพงคู่ สเตอริโอทรงพลัง สัมผัสอรรถรสที่ยอดเยี่ยมในการดูหนัง ฟังเพลง และ TCL ใส่ใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีถนอมสายตา หน้าจอลดแสงสีฟ้าที่ทำให้สายตาอ่อนล้า โดยมีโหมดอ่านหนังสือ ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านจากหนังสือ มีระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า สะดวก ง่าย ไม่ต้องใส่พาสเวิร์ดทุกครั้ง




สายกล้องต้องเลิฟ ถ่ายทุกภาพประทับใจกับระบบกล้องคู่ AI 13 ล้านพิกเซล มาคู่ กับ กล้องวัดระยะ 2 ล้านพิกเซล ที่มาเพิ่มความโปรกับถ่ายภาพพอตเทรตสวย หน้าชัด หลังเบลอ ด้วยกล้องความลึกเน้นภาพคนให้เห็นชัด ผิวเปล่งปลั่งสดใส พร้อมกล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ HDR ปรับภาพให้สวย คมชัดไม่ว่าจะถ่ายในที่แสงน้อยหรือถ่ายย้อนแสงโดยไม่ต้องกังวล พร้อมฟังก์ชั่นการจับภาพอัตโนมัติเพียงแค่สัญญาณมือ สามารถตรวจจับใบหน้าได้โดยอัตโนมัติ 




TCL 405 มาพร้อม แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000 mAh ใช้งานได้ยาวนาน 2 วัน มีระบบการชาร์จอัจฉริยะ สามารถปิดฟังก์ชันบางอย่าง เช่น บลูทูธได้โดยอัตโนมัติเมื่อคุณนอนหลับ ซึ่งจะช่วยลดการใช้แบตเตอรี่โดยไม่จำเป็น ซึ่ง AI จะเรียนรู้และจดจำการลักษณะการใช้งาน เพื่อแบตเตอรี่อึดทนทั้งวัน ช่วยประหยัดพลังงานได้มากถึง 8% - 10% และยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้นานขึ้น


TCL 405 (2/64GB) เปิดจำหน่าย 2 สี คือ สี Dark Gray และ Lavender Purple ในราคา 3,799 บาท



เมื่อซื้อ TCL 405 รับฟรี ผ้าพันคอ TCL X Raphael Varane มูลค่า 590 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2565



ตัวสุดท้าย TCL 40SE คุ้มแน่ สเปคแน่น

มาพร้อมสเปคจัดเต็ม หน่วยความจำสูงสุดที่แรม 6GB และรอม 256GB ที่แรงตอบโจทย์ความบันเทิงทุกด้าน ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ ถ่ายภาพก็บันทึกได้จุใจ มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.75 นิ้ว ที่รองรับอัตราการรีเฟรช สูงสุดถึง 90Hz คมชัดระดับ HD+ ทำให้ภาพที่ได้นั้นสวยงาม ลื่นไหล




แถมมาพร้อมเทคโนโลยี NXTVISION นวัตกรรมเฉพาะภาพจาก TCL ที่ปรับให้ภาพคมชัดเห็น สีสันสวยสมจริงและมีมิติยิ่งขึ้น ได้อรรถรสเหมือนได้รับประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์ และอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องสูงถึง 90% ช่วยขยายทุกมุมมองการใช้งานได้กว้างขึ้น นอกจากนี้ยังใส่ใจเรื่องสุขภาพด้วยโหมดหน้าจอแบบถนอมสายตา เหมาะกับหลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าช่วงเวลาในที่แสงน้อย หรือแดดจ้า




ถ่ายภาพได้สวยและสนุกยิ่งขึ้น ด้วยกล้องหลัง 3 กล้อง ประกอบด้วยกล้องความละเอียดสูงสุด 50 ล้านพิกเซล กล้องวัดระยะ 2 ล้านพิกเซล และกล้องมาโคร 2 ล้านพิกเซล ทำให้ตอบโจทย์การถ่ายภาพบุคคลได้อย่างดีเยี่ยม และถ่ายภาพระยะประชิดได้อย่างคมชัด รวมถึงการบันทึกทุกโมเมนต์ด้วยระบบ AI การเก็บภาพ SNAP ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล ที่มากับบิวตี้โหมด ถ่ายภาพเซลฟี่สวยแม้ในที่แสงน้อย

โหมด ONE SHOT กดถ่ายครั้งเดียว เก็บภาพและคลิปที่ดุที่สุด ณ เวลานั้น

TCL 40SE เสถียรและทรงพลัง ทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานและยืดอายุแบตเตอรี่เพื่อทำให้โทรศัพท์ของคุณทำงานได้ลื่นไหลอย่างไร้ความกังวล มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 5010 mAh ชาร์จไว18 W ที่มากับระบบ SMART MANAGER & SMART CHARGING ช่วยให้การใช้งานของแบตเตอรี่นานยิ่งขึ้นอีก



TCL 40 SE (6/256GB) เปิดจำหน่าย 2 สี คือ สี Twilight Purple และ Dark Gray ในราคา 5,999 บาท

TCL 40 SE (4/128GB) เปิดจำหน่าย 2 สี คือ สี Twilight Purple และ Dark Gray ในราคา 4,999 บาท

เริ่มจำหน่าย TCL 40 SE ในวันที่ 15 มกราคม 2566

 




สำหรับโปรโมชันเปิดตัวเอาใจคอบอลชาวไทย ด้วยของสมนาคุณผ้าพันคอ TCL พร้อมลายเซ็นของนักเตะขวัญใจหลายๆ คน อย่าง Raphaël Varane พร้อมส่งท้ายด้วยแคมเปญ TCL ส่งความสุข 55.55.5 ที่ลูกค้าซื้อมือถือวันนี้มีสิทธิ์ลุ้นรับ TCL Android TV ขนาด 55 นิ้ว สำหรับ 55 ผู้โชคดี จับรางวัลทั้งหมด 5 ครั้ง


โปรโมชั่นสุดพิเศษ TCL ส่งความสุข 55.55.5

เพียงซื้อสมาร์ทโฟน TCL รุ่น TCL 405, TCL 403, TCL 40SE, TCL 30 +, TCL 30 SE, TCL 30 5G, TCL 20R 5G หรือแท็บเล็ต TCL TAB 8, TCL TAB 10 FHD หรือ TCL 10 TAB MAX 4G และเปิดใช้งานตั้งแต่ วันที่ 1 ธันวาคม 2565 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2566 เท่านั้น

มีสิทธิ์ลุ้นจับรางวัล TCL Android TV ขนาด 55 นิ้ว มูลค่า 14,990 บาท สินค้าดังกล่าว 1 เครื่อง จะมี 1 สิทธิ์การลุ้น โดยจะมีการจับรางวัล 5 ครั้ง ครั้งละ 11 เครื่อง รวม 55 รางวัล ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tclmobile55555.com



ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.tcl.com/th/th