ป้ายกำกับ

TikTok ชวนคนไทยร่วมสร้าง Digital White Space จัดเวิร์คช็อปให้ความรู้เรื่องความปลอดภัยในโลกดิจิทัล

 


TikTok ย้ำจุดยืนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในโลกดิจิทัล และมุ่งมั่นที่จะรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อสนับสนุนชุมชนที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า พันล้านคนต่อเดือน ภารกิจของ TikTok คือการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และนำความสุขมาให้กับทุกคน นโยบายด้านความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ TikTok ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย การอัพเดทหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน การรายงานความโปร่งใส รวมถึงการดำเนินการเชิงรุก เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในโลกดิจิทัลแก่ผู้ใช้ ผ่านการผลักดันแคมเปญ การจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับองค์กรด้านความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ

ล่าสุด TikTok ร่วมขับเคลื่อนการสร้างพื้นที่สีขาวในโลกดิจิทัลให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง พร้อมเตรียมผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ เริ่มต้นโดยจับมือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมเวิร์คชอป Creating Digital White Space by TikTok ให้แก่สื่อมวลชนสมาชิกสมาคมฯ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีปกป้องความเป็นส่วนตัวของตนและหลีกเลี่ยงการถูกคุกคามต่างๆ โดยสรุปประเด็นสำคัญจากกิจกรรมดังนี้

จุดประกายสร้างความปลอดภัยในโลกดิจิทัลด้วยความรู้ความเข้าใจ

TikTok ขับเคลื่อนชุมชนเพื่อสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้กับผู้ใช้ทุกคน ผ่าน 4 P ได้แก่ Policies หลักเกณฑ์สำหรับชุมชนซึ่งเป็นข้อกำหนดในการให้บริการ Practices การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและทีมดูแลปฏิบัติงานเพื่อตรวจจับและจัดการเนื้อหาที่ละเมิดหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน Product ฟังก์ชั่นและฟีเจอร์ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับความเป็นส่วนตัวของบัญชี ความปลอดภัย รวมถึงส่งเสริมสุขภาวะดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย และ Partner การร่วมมือกับพันธมิตรและองค์กรชั้นนำต่างๆ ทั่วโลกและในประเทศไทยเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ใช้ในการส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งในส่วนหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนที่ TikTok เน้นย้ำเป็นพิเศษ คือ นโยบายความปลอดภัยของผู้เยาว์ นโยบายการกระทำผิดกฎหมายหรือสินค้าควบคุม และนโยบายการเปลือยกายและพฤติกรรมทางเพศในผู้ใหญ่ โดยถ้าถูกตรวจพบหรือมีการรายงานการละเมิดหลักเกณฑ์สำหรับชุมชน จะมีการจัดการเนื้อหาตามลำดับชั้นตอน ตั้งแต่ ลดโอกาสในการค้นพบรวมถึงเปลี่ยนเส้นทางผลการค้นหา การแบนชั่วคราวหรือถาวร ไปกระทั่งการรายงานต่อหน่วยงานทางกฎหมาย เป็นต้น

การสร้างความรู้ความเข้าใจในเชิงนโยบายตลอดจนเจาะลึกไปถึงข้อกำหนดกฎเกณฑ์ และวิธีการใช้งานให้แก่ผู้ใช้ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะปูพื้นฐานไปสู่การสร้างชุมชนที่ปลอดภัยได้



สร้างความปลอดภัยในโลกดิจิทัล เริ่มต้นง่ายๆ ได้ด้วยตัวเอง

สำหรับ TikTok แม้จะเป็นแพลตฟอร์มที่คอนเทนต์ถูกสร้างจากผู้ใช้ หรือ User-generated content แต่ TikTok ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่สามารถควบคุมและดูแลได้อย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่

  • Account setting การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยตั้งค่าหรือกำหนดวามเป็นส่วนตัว รวมถึงการแสดงตัวตนต่อสาธารณะด้วยขึ้นตอนที่เข้าใจง่ายทำได้ด้วยตัวเอง
  • Content controls เครื่องมือจัดการความเห็น ตลอดจนการกำหนดได้ว่าใครสามารถโต้ตอบหรือมีส่วนร่วมกับคอนนเทนต์ที่ครีเอทขึ้นมาได้ ซึ่งรวมถึงการตั้งค่าการใช้งานได้ด้วยตัวเอง ทั้งในด้านสุขภาวะทางดิจิทัล การจัดการเวลาการใช้งานหน้าจอ หรือดูแลการใช้งานของเยาวชนในครอบครัวด้วย Family Pairing
  • Community controls การควบคุมเนื้อหาด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการวิดีโอที่เห็นบน TikTok รวมถึงการเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ มีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในแพลตฟอร์ม โดยสามารถรายงานเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยง หรือละเมิดหลักเกณฑ์สำหรับชุมชนได้ด้วยตัวเองเช่นกัน

ขับเคลื่อนชุมชนเพื่อสร้าง Digital White Space

การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยในโลกออนไลน์เป็นเรื่องที่ TikTok ให้ความสำคัญ ซึ่งสื่อมวลชนผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรายงานข้อเท็จจริง สามารถส่งต่อข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้งช่วยวางรากฐานความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในโลกดิจิทัลได้เป็นอย่างดี ด้วยความแข็งแกร่งของคอมมูนิตี้ บน TikTok เมื่อรวมกับความคิดสร้างสรรค์จากเหล่าครีเอเตอร์ และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ จึงจะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคม เพื่อขับเคลื่อนประเด็นพื้นที่ปลอดภัยทางดิจิทัลให้เป็นวาระระดับชาติได้อย่างแท้จริง

TikTok ยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินการเชิงรุกในด้านความปลอดภัยในโลกดิจิทัลอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นแผนที่จะจัดกิจกรรม workshop ที่จะขยายไปในวงกว้าง ทั้งในกลุุ่มครีเอเตอร์ ผู้ใช้ และสื่อมวลชน ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงการปลุกจิตสำนึกและเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยในโลกดิจิทัลในโรงเรียนทั่วประเทศ ติดตามกิจกรรมด้านความปลอดภัยจาก TikTok ได้เร็วๆ นี้

มาดูการใช้งาน HUAWEI MatePad Pro 11-inch ประชุม จดโน้ต เคลียร์งาน ครบจบในเครื่องเดียว



 เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน วันนี้เราจะมาบอกเล่าความสามารถของ HUAWEI MatePad Pro 11 นิ้ว ว่ามันมีดียังไง ใช้งานได้คุ้มค่าแค่ไหน


HUAWEI MatePad Pro 11-inch มีคุณสมบัติโดดเด่นที่จะยกระดับการทำงานแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ OLED สุดคมชัด สีสันที่สมจริง และอัตรารีเฟรชอันลื่นไหลถึง 120Hz พร้อมด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะมากมาย อย่าง HUAWEI SOUND ที่ช่วยให้การประชุมเสียงฟังชัด และแอปพลิเคชันดีๆ อย่าง HUAWEI Notes สำหรับจดบันทึกแบบล้ำๆ และ WPS Office สำหรับจัดการงานเอกสารและพรีเซนเทชันอย่างง่ายดาย รวมไปถึงตัวเครื่องมีความบางเบาสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่อย่างสะดวกสบาย วันนี้ เราจะพาไปสำรวจเคล็ดไม่ลับของการใช้งานไอเท็มสุดฮ็อตจากหัวเว่ยตัวนี้เพื่อให้ได้ทั้งประสบการณ์เสมือนพีซีระดับโปร (PC-Like Pro) และประสิทธิภาพการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ มีอะไรบ้างไปติดตามกันได้เลย


1. จดบันทึกการประชุมอย่างฉับไวด้วย HUAWEI M-Pencil 2nd generation ใน HUAWEI Notes และสื่อสารอย่างชัดเจนด้วย HUAWEI SOUND


เวลาประชุมแทนที่จะใช้สมุดโน้ต ลองเปลี่ยนมาใช้แท็บเล็ตในการจดบันทึกแทนโดยใช้โปรแกรมโน้ตที่ตนเองถนัด อย่างแอปพลิคชัน HUAWEI Notes บน HUAWEI MatePad Pro 11-inch ซึ่งเมื่อใช้งานร่วมกับ HUAWEI M-Pencil 2nd generation ก็สามารถใช้จดบันทึก ขีดเขียน วาดรูป ไฮไลท์สีได้เสมือนใช้สมุดโน้ตคู่กับปากกาที่เปลี่ยนสีได้อย่างหลากหลายและยังล้ำยิ่งกว่าด้วยฟังก์ชันการดูดสีจากแอปอื่น หรือ Cross-app Color Capture ให้โน้ตมีสีสันสะดุดตาอ่านง่าย ส่วนการประชุมครั้งไหนที่มีเอกสารหรือสไลด์อยู่แล้ว ก็อาจจดบันทึกลงบนไฟล์นั้นๆ ได้เลยโดยสามารถ import ไฟล์มาทำบนแอปฯ หรือใช้วิธีที่รวดเร็วอย่างการเคาะที่ M-Pencil 2 ครั้ง เพื่อเรียกใช้ฟังก์ชัน Annotate สำหรับขีดเขียนลงบนหน้าที่ต้องการและเซฟเป็นภาพเก็บไว้ บอกเลยว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีประโยชน์มากในเวลาเร่งด่วน ที่สำคัญ หน้าจอ OLED 120Hz FullView Display ช่วยให้มองเห็นคู่สนทนาได้อย่างชัดเจนเหมือนประชุมอยู่ด้วยกันจริงๆ ขณะที่เวลาประชุมก็มีเสียงดังฟังชัดตัดการรบกวนและเก็บทุกใจความสำคัญได้ไม่มีพลาดด้วยระบบตัดเสียงรบกวนอัจฉริยะ HUAWEI SOUND และ AI Noise Cancellation (ANC) แถมกล้องหน้ายังคมชัดถึง 16MP และมีเทคโนโลยี FollowCam ติดตามบุคคลโดยไม่ต้องปรับมุมมองเอง ประชุมครั้งไหนก็แลดูล้ำสมัยกว่าใครเห็นๆ


2ทำงานอย่างชาญฉลาดด้วย WPS Office พร้อมเปิดหน้าต่างคู่ด้วย App Multiplier ประหยัดเวลาทำงานได้เยอะ


บ่อยครั้งที่การปิดจบหนึ่งชิ้นงานเป็นเพียงการนำข้อมูลไปจัดเรียงในฟอร์แมตใหม่ บอกเลยว่าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการเปิดและปิดแอปฯ ไปมาเพราะ HUAWEI MatePad Pro 11-inch มาพร้อมกับฟังก์ชัน App Multiplier ที่สามารถเปิดหน้าต่างแอปฯ คู่กันเพื่อให้เราทำงานได้อย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น หากต้องนำข้อมูลจากไฟล์ตารางมาจัดเรียงเป็นพรีเซนเทชัน เราอาจจะเปิดไฟล์ตารางในหน้าขวาแล้วลากไอคอนไฟล์สไลด์มาเปิดในหน้าจอข้างซ้ายเพื่อคัดลอกข้อมูลข้ามไฟล์ได้เลย โดยฟังก์ชันที่ว่านี้ใช้ได้กับแอปฯ ทำงานอย่าง WPS Office ยิ่งถ้าจับคู่แท็บเล็ตรุ่นนี้กับเมาส์บลูทูธและ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ซึ่งมีระยะแป้นลึก 1.5 มม. ให้สัมผัสนุ่มสบายพร้อมด้วยคีย์ลัดอีกเพียบ รับรองว่าได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนการใช้พีซีและช่วยเพิ่มสปีดในการทำงานให้เต็มพิกัดแน่นอน

 

3. ใช้ฟังก์ชัน Multi-windows แล้วทำงานแบบ Multitask ปิดจบทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว


นอกจากการแบ่งหน้าจอซ้ายขวาแล้ว เรายังสามารถใช้พื้นที่หน้าจอ HUAWEI MatePad Pro 11-inch แบบเต็มที่ยิ่งกว่านั้นได้อีก ซึ่งไม่ใช่แค่การเปิด 2 หน้าจอบนแอปฯ เดียวกันแต่เป็นการเปิด 2 แอปฯ พร้อมกันเป็นหน้าจอซ้าย-ขวา ด้วยฟีเจอร์ Multi-windows ร่วมด้วยฟีเจอร์หน้าต่างลอย เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานหลายงานพร้อมกัน เช่น การทำเอกสาร อ่านโน้ตจากการประชุม เช็คอีเมล และหาข้อมูลผ่านเบราเซอร์ พร้อมกันในจอเดียวได้ถึง 4 หน้าต่าง ฟีเจอร์ที่ว่านี้ยังรองรับการเล่นวิดีโอในหน้าจอรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบหน้าต่างคู่กับแอปฯ อื่น และการเล่นแบบ mini-player จอเล็กในกรณีที่ต้องใช้พื้นที่ในแอปฯ ทำงาน นั่นหมายความว่าการใช้ HUAWEI MatePad Pro 11-inch จะทำให้คุณทำงานโดยสามารถเปิดเพลงฟังไปด้วยได้ ทั้งโปรดักทีฟและรีแลกซ์ได้ในเวลาเดียวกัน

 

4ใช้ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard พิมพ์งานอย่างมือโปร หรือจะใช้ HUAWEI Super Device เพื่อยกระดับการเชื่อมต่อและการทำงานข้ามอุปกรณ์ก็ง่ายนิดเดียว




แปลงร่าง HUAWEI MatePad Pro 11-inch ให้กลายเป็นพีซีคู่ใจด้วย HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ที่เชื่อมต่อกันได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้สามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้ง Laptop mode ที่ให้ความรู้สึกเหมือนใช้พีซี และ Split mode ซึ่งแยกตัวแป้นพิมพ์ออกจากฐานเพื่อปรับระยะการมองจอให้ได้ประสบการณ์การพิมพ์งานในอิริยาบถที่ถนัด หรือถ้าชอบใช้งานคู่กับ HUAWEI M-Pencil 2nd generation ก็มี Studio mode ให้องศาที่เหมาะกับการวาดภาพและขีดเขียน  บอกเลยว่าจะโหมดไหนก็ทำงานได้อย่างสะดวกสบายและลื่นไหลยิ่งกว่าที่เคย ส่วนใครที่อยากเติมเต็มความครบวงจร ก็สามารถจับคู่ HUAWEI MatePad Pro 11-inch กับ HUAWEI MateBook สักเครื่องผ่านการเชื่อมต่อด้วย HUAWEI Super Device ก็จะยกระดับความล้ำในการทำงานขึ้นไปอีกขั้น พร้อมชนทุกความท้าทายอย่างมืออาชีพตัวจริง

5. ใช้ขุมพลัง HarmonyOS 3.0 จัดการทุกอย่างได้ดั่งใจมีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง


หลังจากสามารถทำงานเอกสารได้ราบรื่นผ่านฟีเจอร์ต่างๆ อีกขั้นตอนที่สำคัญคือการจัดการไฟล์ให้เป็นระเบียบ ยิ่งถ้าต้องส่งงานที่ทำไว้บนแท็บเล็ต ก็ต้องหาไฟล์ที่ทำไว้ให้เจอ ซึ่งในเรื่องนี้หายห่วงได้เลยสำหรับใครทื่ใช้ HUAWEI MatePad Pro 11-inch ที่นอกจากจะมีระบบการจัดการไฟล์ที่เหมือนกับคอมพิวเตอร์มากขึ้นแล้ว ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด HarmonyOS 3.0 เพิ่มความสะดวกในการใช้งานแอปพลิเคชันในแนวนอนมากกว่าเดิม โดยใน File Management และ Gallery แนวนอน ผู้ใช้จะค้นหาโฟลเดอร์ต่างๆ ได้ที่เมนูแนวข้างซ้ายของหน้าจอ จึงไม่จำเป็นต้องเข้าคนหาไฟล์จากทีละโฟลเดอร์ ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถปรับแต่งวิดเจ็ตบนหน้าจอแท็บเล็ตได้ดั่งใจมอบอิสระในการจัดการหน้าจอให้มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคลให้กับผู้ใช้งาน


6ปิดจบทุกความท้าทายได้ก่อนใครอย่างผู้ชนะ ทุกที่ทุกเวลา


อะไรจะสุขใจมากไปกว่านาทีแห่งการยกภูเขาออกจากอกเมื่องานเสร็จ สำหรับคนที่ต้องทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ ข้อดีของการใช้แท็บเล็ตทรงพลังอย่าง 
HUAWEI MatePad Pro 11-inch คือสามารถปิดจ๊อบจากที่ไหนก็ได้ให้ทันเดดไลน์แบบไร้กังวล ด้วยความเบาพกง่ายของตัวเครื่องที่มีน้ำหนักเพียง 449 กรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตขนาด 11 นิ้วรุ่นอื่นๆ ในปัจจุบันก็เรียกได้ว่าเบาที่สุดในโลก ตอบโจทย์การทำงานของคนรุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริงเพราะสามารถทำงานเสร็จได้ทันใจและส่งงานได้ทันที แถมยังพกพาไปด้วยได้ทุกที่โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นภาระ


ขายของหน่อย



HUAWEI MatePad Pro 11-inch ทั้งรุ่น WIFI (8 GB+128GB) ราคา 24,990 บาท และรุ่น LTE (8GB+256GB) ราคา 29,990 บาท เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ที่ร้าน HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ รวมถึงช่องทางออนไลน์อย่างเว็บไซต์ HUAWEI Store ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยบนแอปพลิเคชัน ShopeeLazadaJD Central และ Thisshop และแอปพลิเคชัน My HUAWEI

 

พิเศษ หัวเว่ยใจดีต่อโปรสุดคุ้ม! หากสั่งซื้อตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 รับฟรี! HUAWEI Smart Magnetic Keyboard, HUAWEI M-pencil 2nd generation และสิทธิประโยชน์มากมายจาก HUAWEI AppGallery อาทิ บริการ HUAWEI Cloud ฟรี เดือน บริการ HUAWEI Music ฟรี เดือน บริการ HUAWEI Video ฟรี เดือน และใช้งาน WPS Office ฟรี เดือน เป็นต้น รวมมูลค่าของสมนาคุณ 12,282 บาท

ซัมซุงร่วมมือ Google นำบริการ Google Photos ยกระดับประสบการณ์การถ่ายภาพของผู้ใช้ Galaxy Z Flip4 และ Z Fold4

 

ซัมซุง ส่ง Galaxy Z Flip4 และ Z Fold4 สมาร์ทโฟนจอพับได้ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชอบถ่ายภาพผ่านคุณภาพที่เป็นเลิศ และ Flex Camera ที่จะพาผู้ใช้งานก้าวข้ามขีดจำกัดของการถ่ายภาพแบบเดิมๆ พร้อมผสานความร่วมมือกับGoogle นำเอาบริการ Google Photos มาใช้บนดีไวซ์ของซัมซุง โดยเปรียบ Google Photos เป็นดัง The home for your memories ให้กับผู้ใช้งานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะมีไลฟ์สไตล์แบบไหน ด้วยจุดแข็งที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานรูปภาพ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพ เก็บรูปภาพ ส่งต่อรูปภาพได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยกูเกิ้ลได้เปิดโอกาสให้ได้ทดลองบริการจริงในงานSamsung Galaxy Flexperience ที่ผ่านมพร้อมร่วมฉลองการมาอย่างยิ่งใหญ่ของ Galaxy Z Flip4 และ Z Fold4 ด้วยการออก Limited Edition Boxset พิเศษ ที่จะวางขายในวันที่ 2 กันยายนนี้ 

 

ทุกวันนี้ การถ่ายภาพผ่านสมาร์ทโฟนแทบจะเป็นพฤติกรรมที่คนส่วนใหญ่ทำกันเป็นเรื่องปกติในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพเพื่อเก็บโมเมนท์พิเศษ การถ่ายภาพเพื่อการทำงาน การถ่ายภาพเพื่อจดบันทึกสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว หรือการแชร์เรื่องราวที่ตนเองพบให้กับผู้อื่น ดังนั้นเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้มากขึ้น ซัมซุงจึงได้นำเสนอ Galaxy Z Flip4 และ Z Fold4  สมาร์ทโฟนจอพับได้ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการถ่ายภาพ โดย Galaxy Z Flip4 จะทำให้ทุกคนได้สัมผัส Flex Camera ซึ่งจะช่วยให้ถ่ายรูปในมุมและองศาที่หลากหลาย สะดวกสบายมากขึ้น และก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆ ของการถ่ายภาพได้ ในส่วนของ Galaxy Z Fold4 ก็ได้มีการพัฒนาคุณภาพของกล้อง ให้มีความคมชัดมากกว่าเดิม และนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเดิม นอกจากนี้ซัมซุงยังได้ร่วมมือกับกูเกิ้ลในนำเอาบริการ Google Photos มาใช้บนดีไวซ์ของซัมซุง โดยการร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้ทุกการถ่ายภาพ เก็บรูปภาพ แต่งภาพ ส่งต่อรูปภาพ เป็นไปได้อย่างง่ายดายสะดวกสบาย และมีคุณภาพมากกว่าที่เคย เพื่อผู้ใช้งานดีไวซ์ของซัมซุงทุกคน” นายสิทธิโชค นพชินบุตร รองประธานองค์กร ธุรกิจโทรคมนาคมและไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าว 

 

ความพิเศษที่ได้ร่วมมือกับซัมซุง คือการที่บริการ Google Photos สามารถโชว์ประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่บนดีไวซ์ที่มีคุณภาพของซัมซุง ซึ่งเราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบริการของเราจะสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานทุกคนสะดวกสบายมากขึ้น และมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น โดยเราเปรียบ Google Photos เสมือนเป็น The home for your memories ที่จะคอยเป็นตัวช่วยในการเก็บทุกความทรงจำของทุกคนเป็นอย่างดี  โดยจุดแข็งของบริการ Google Photos ก็คือ สามารถเซฟและแชร์รูปภาพให้กับใครก็ได้เพียงแค่มี Gmail และยังสามารถแชร์รูปภาพไปที่แอปพลิเคชั่นอื่นได้อย่างง่ายดาย หรือสามารถครีเอทลิงก์สำหรับดาวน์โหลดรูปภาพก็สามารถทำได้รวดเร็วทันใจ และไม่ว่าจะเก็บรูปภาพไว้เยอะแค่ไหน ก็สามารถค้นหาได้ง่ายดายจากการค้นหาผ่านคีย์เวิร์ดหรือสถานที่ นอกจากนี้ยังสามารถแต่งภาพได้ง่ายและสวยกว่าเดิมด้วยเครื่องมือและฟิลเตอร์ที่ Google Photos พัฒนาขึ้น โดยรูปทั้งหมดที่ออกจาก Google Photos จะเป็นรูปที่มีคุณภาพ ไม่ถูกลดขนาด อีกด้วย” นายมาแฮร์ ซาฮิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายพันธมิตรแพลตฟอร์มและระบบนิเวศ, Google ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว 

 

               ก่อนหน้านี้ซัมซุงและ Google ได้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้ทดลองประสิทธิภาพของ Google Photos ด้วยตัวเอง ผ่านงาน Samsung Galaxy Flexperience ที่ซัมซุงได้เทคโอเวอร์พื้นที่สยามสแควร์ตลอด 3 วันเต็ม พร้อมให้ทุกคนได้ลองสัมผัสประสบการณ์ตรงกับเครื่อง Galaxy Z Flip4 และ Z Fold4 ในการถ่ายภาพมุมสุดครีเอท ที่ซัมซุงได้คัดสรรมาให้ โดยกูเกิ้ลได้ผสานความร่วมมือในการติดตั้งบริการ Google Photos ไว้ในเครื่องทุกเครื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานทุกคนได้ลองใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวความจำเต็ม การแชร์ภาพต่อได้อย่างราบรื่นไร้รอยต่อ การแต่งภาพที่ทำได้อย่างง่ายดาย โดยรูปภาพที่ได้เป็นรูปภาพที่มีคุณภาพดีเยี่ยม ซึ่ง Google Photos สามารถทำได้ดีในทุกโจทย์ เป็นที่พึงพอใจกับผู้ที่ได้ทดลองใช้ภายในงานและสร้างความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก 




 

               นอกจากนี้เพื่อเป็นการต้อนรับการเปิดตัวของ Galaxy Z Flip4 และ Z Fold4 ใหม่ ทางกูเกิ้ล จึงได้มีการทำ Limited Google Accessories Pack สำหรับ Galaxy Z Flip4 ซึ่งภายในกล่องจะประกอบด้วย Accessories จำเป็นสำหรับการใช้งาน ประกอบกับดีไซน์ที่สวยงาม แปลกใหม่ สะดุดตา ทำให้ไม่ว่าใครที่เห็นก็อยากจับจองเป็นเจ้าของ โดยจะวางจำหน่ายในวันที่ 2 กันยายน 2565 ที่ samsung.com และ Samsung Experience Store สาขาที่มี Galaxy ME Style จำกัดเพียง 1,000 ชุดเท่านั้น 

หัวเว่ยเปิดตัวโครงการ Seeds for the Future ในประเทศไทย ครั้งใหญ่ที่สุดในระดับภูมิภาค

 


หัวเว่ยเปิดตัวโครงการ Seeds for the Future 2022 ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้ความร่วมมือกับมูลนิธิอาเซียนและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โครงการดังกล่าวจะมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 - 27 สิงหาคมนี้ โดยมีนักศึกษาระดับแนวหน้ากว่า 120 คนจาก 16 ประเทศในเอเชียแปซิฟิกซึ่งมีนักศึกษา 10 คนจากประเทศไทย เข้าค่ายพัฒนาทักษะดิจิทัลนี้เป็นเวลา 9 วันในประเทศไทย เพื่อสร้างความตระหนักซึมซับกับเทคโนโลยีและประสบการณ์การเรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย พร้อมเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมในโครงการ Tech4Good


ในภาพ – นายไซมอน หลิน ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เอเชียแปซิฟิก (ที่ 5 จากซ้าย) คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ที่ จากซ้าย) ดรหยาง มี เอ็ง กรรมการบริหารมูลนิธิอาเซียน (ที่ จากซ้าย) นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัยและพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ขวาสุด) นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ จากซ้าย) นางสาวดิปู โมนิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของบังกลาเทศ (ที่ จากซ้าย) นางสาวอัตสึโกะ โอคูดะ ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) (ที่ 7 จากซ้าย) และนายหลี่ปิง หวัง หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรมด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะ ยูเนสโก (ซ้ายสุด) ร่วมพิธีเปิดโครงการ “Seed for the Future 2022” ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

 

โครงการ Asia Pacific Seeds for the Future 2022 ถือเป็นปฐมบทของโครงการ Seeds for the Future ระดับอาเซียน นับตั้งแต่การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) ระหว่างหัวเว่ยและมูลนิธิอาเซียน เพื่อยกระดับ Seeds for the Future ระดับภูมิภาค ในปี พ.ศ. 2564 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดทริปทัศนศึกษาสำหรับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน Seeds for the future ในปีนี้ ด้วยเป้าหมายในการนำเสนอประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ

พิธีเปิดโครงการครั้งนี้ยังได้รับเกียรติจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐและตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศมากมายเข้าร่วม นอกจากนี้ อีกทั้งมีวิทยากรต่าง ๆ ขึ้นกล่าวปาฐกถาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันหลายฝ่าย เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอีโคซิสเต็มเพื่อผู้ที่มีทักษะทางดิจิทัลในภูมิภาค

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ขึ้นกล่าวภายในงานว่า ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน Huawei Seeds for the Future ประจำปี 2022 ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทย ผมต้องขอขอบคุณหัวเว่ยที่จัดโครงการดีๆ เช่นนี้ ปัจจุบัน ภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือกันพัฒนาบุคลากรทางด้านไอซีทีเพื่อปรับตัวให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ผมเชื่อว่าการร่วมมือกันจัดการฝึกอบรมกับบริษัทชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่างหัวเว่ย จะช่วยยกระดับศักยภาพทางการศึกษาและจะเป็นก้าวสำคัญต่อการพัฒนาด้านดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายในการเพิ่มความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจสู่ระดับโลก”



ด้านนายไซมอน หลิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เอเชียแปซิฟิก ได้แสดงวิสัยทัศน์ของหัวเว่ยในการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถว่า คำว่า ’seeds’ เปรียบเสมือนตัวแทนของความหวัง ความชื่นชอบ และอนาคต ในฐานะที่โครงการนี้เป็นโครงการซีเอสอาร์ระดับเรือธงขององค์กร โปรแกรมนี้ได้ขยายไปยังประเทศและภูมิภาคต่างๆ เกือบ 140 แห่ง เข้าถึงนักศึกษามากกว่า 12,000 คนจากมหาวิทยาลัย 500 แห่ง ซึ่ง “Seeds” หรือเมล็ดพันธุ์นี้ได้เติบโตจนกลายเป็น “Forest” หรือป่าระดับโลก การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นแรงผลักดันสำหรับอนาคตของเรา และบุคลากรที่มีทักษะจะเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน หัวเว่ยเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคนรุ่นใหม่จะเติบโตมาในฐานะผู้สร้างของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พวกเขาจะแกร่งขึ้นหากพวกเขาได้ไล่ตามความฝันด้านเทคโนโลยี”

โครงการ Seeds for the Future 2022 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่เพียงแต่เป็นโครงการที่ให้ความรู้ แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนจากไอเดียไปสู่การริเริ่มโครงการต่าง ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับคุณภาพชีวิตและความสุขในภาคสังคม

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า โครงการ Seeds for the Future มีความสำคัญสำหรับนักศึกษาที่สนใจในด้านไอซีทีและเทคโนโลยีดิจิทัล เพราะเป็นการช่วยเติมเต็มช่องว่างระหว่างภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยทางกระทรวงศึกษาธิการมีวิสัยทัศน์มุ่งเน้นเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งการศึกษาก็ควรให้ความสำคัญกับทักษะด้านดิจิทัลควบคู่กันไปด้วย จุดนี้ถือเป็นพัฒนาการที่สําคัญที่สุดของวงการการศึกษาไทย ซึ่งทางกระทรวงจะร่วมมือกับหัวเว่ย ประเทศไทยอย่างเต็มที่เพื่อเสริมสร้างคุณภาพทางการศึกษาในทุกรูปแบบ นำไปสู่การยกระดับการพัฒนาการศึกษาสู่ระดับสากล”

นายกฤษฏา คงคะจันทร์ รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ยังได้กล่าวชื่นชมโครงการ Seeds for the Future ว่า โครงการนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มชั้นยอดสำหรับการแลกเปลี่ยนของเยาวชนในระดับภูมิภาค และยังเปิดให้นักศึกษาในประเทศมีโอกาสเรียนรู้ร่วมกับหัวเว่ยเพื่อพัฒนาบุคลากรในด้านทักษะทางไอซีทีในประเทศนั้น ๆ และเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างประเทศและวัฒนธรรมอันหลากหลาย

นับจากนี้ เหล่านักศึกษาจะได้เริ่มต้นการเดินทางที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและดิจิทัลเข้าด้วยกัน อาทิ การเยี่ยมชมศูนย์กลางกระดับภูมิภาคของสหประชาชาติ งานมหกรรม Metaverse Expo และพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพมหานคร เป็นต้น ในขณะเดียวกัน พวกเขาจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยอย่าง 5G, AI และการประมวลผลคลาวด์จากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำด้วย

ในระหว่างโครงการค่ายดิจิทัล ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องจัดทีมและสร้างโครงการนำเสนอสำหรับ "Tech4Good" และแบ่งปันวิสัยทัศน์ของพวกเขาในการสร้างโลกดิจิทัลที่ดีขึ้น โดยทีมที่ชนะจะได้เข้าแคมป์หลักสูตรเร่งรัดที่ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 29 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน พ.ศ. 2565 ซึ่งพวกเขาจะได้รับโอกาสในการพบกับผู้ประกอบการและนักลงทุนระดับแนวหน้า และเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาความคิดริเริ่มของพวกเขาต่อไป ก่อนที่จะนำแนวคิดของพวกเขาพัฒนาออกสู่ตลาด

หัวเว่ยได้จัดโครงการการแข่งขัน Tech4Good ในระดับโลกเป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา โดยโปรเจ็ค “Are u OK” จากทีมของประเทศไทยได้คว้ารางวัลเหรียญทอง ด้วยโซลูชันสำหรับช่วยให้ผู้ป่วยในประเทศไทยได้รับการรักษากรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น



การบ่มเพาะบุคลากรด้านดิจิทัลถือเป็นกลยุทธ์ที่หัวเว่ยประเทศไทยให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง โครงการ Seeds for the Future เป็นโครงการหลักด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรระดับโลกอย่างหัวเว่ย ซึ่งรวบรวมเยาวชนที่มีความสามารถระดับโลกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำมาเข้าค่ายฝึกอบรมดิจิทัลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยโครงการ Seeds for the Future ริเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2551 ในประเทศไทย ทั้งนี้ นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวเสริมว่าหัวเว่ยได้สนับสนุนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านทักษะดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง และผลักดันการเพิ่มทักษะให้แรงงาน ส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีความเข้าใจและสนใจภาคอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมากขึ้น รวมทั้งกระตุ้นให้เข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชนดิจิทัล

เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา โครงการ Seeds for the Future ได้ขยายการดำเนินการไปแล้วใน 137 ประเทศและภูมิภาค โดยเข้าถึงนักเรียนนักศึกษาจำนวน 12,000 คนจากมหาวิทยาลัยมากกว่า 500 แห่ง และยังสร้างคุณประโยชน์ให้แก่นักเรียนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศไทยถึง 215 คน

วางจำหน่ายแล้ว! OPPO Reno8 Series 5G ยืนหนึ่งสมาร์ตโฟน The Portrait Expert กล้องทรงพลัง คว้าใจผู้บริโภคยุคโซเชียล

 


สามารถหาซื้อได้แล้วที่ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และผู้จัดจำหน่ายทั่วประเทศ
OPPO Reno5ราคา 12,990 บาท
OPPO Reno8 5ราคา 19,990 บาท
OPPO RenoPro 5ราคา 27,990 บาท

 

 สรุปไฮไลต์ฟีเจอร์สุดว้าวของทั้ง 3 รุ่น เริ่มจาก OPPO Reno8 Z 5ตัวจริงด้านการถ่ายภาพพอร์ตเทรตถ่ายภาพคนสวย เป็นธรรมชาติ มาพร้อมด้วยกล้อง AI Portrait ความละเอียด 64MP และฟีเจอร์ AI Portrait Retouching ให้คุณปรับแต่งโทนสีผิวและแต่งหน้าได้สวยอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมฟีเจอร์ Bokeh Flare Portrait สร้างดวงไฟโบเก้ในพื้นหลังเสมือนถ่ายด้วยกล้อง DSLR และฟีเจอร์ Selfie HDR ถ่ายเซลฟี่ได้คมชัดแม้ย้อนแสง ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังประสิทธิภาพสูงรองรับ 5G แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4,500mAh และเทคโนโลยีชาร์จไว 33W SUPERVOOC ในดีไซน์แบบใหม่ฝาหลังกระจกแบบอัปเกรดผสานรวม OPPO Glow อันเป็นเอกลักษณ์ มอบความสวยงามทุกมุมมอง มาพร้อม 2 สีใหม่ ได้แก่ สีทอง Dawnlight Gold และ สีดำ Starlight Black

 

ด้าน OPPO Reno8 5G ถ่ายคนสวยในทุกสภาพแสงด้วยขุมพลังเซ็นเซอร์คู่คุณภาพสูงระดับแฟล็กชิพ ชูฟีเจอร์ Ultra Night Video และ Night Portrait ที่มอบวิดีโอและภาพพอร์ตเทรตตอนกลางที่คมชัด สว่าง สีสันสดใส เสริมด้วยชาร์จไว 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ในเวลาเพียงแค่ 28 นาที ในดีไซน์ Streamlined Unibody Design ไร้รอยต่อดูหรูหราพรีเมี่ยม มาพร้อม 2 สีสันสวยงาม ได้แก่สีทอง Shimmer Gold และ สีดำ Shimmer Black

 

ในขณะที่ OPPO Reno8 Pro 5G ถ่ายคนสวยแบบโปร ด้วยพลังระดับแฟล็กชิพจากชิปเซ็ต Marisilicon X พร้อมเซ็นเซอร์คู่ระดับแฟล็กชิพ Sony IMX766 บนกล้องหลักความละเอียด 50MP และ Sony IMX709 บนกล้องหน้าความละเอียด 32MP มอบ 4K Ultra Night Video และ Night Portrait ช่วยให้คุณถ่ายภาพและวิดีโอพอร์ตเทรตในตอนกลางคืนได้สวยคมชัด ในดีไซน์ Streamlined Unibody Design เช่นเดียวกัน มีให้เลือกสีใหม่สุดพรีเมี่ยม 2 สี ได้แก่ สีเขียว Glazed Green และ สีดำ Glazed Black



และพิเศษ เมื่อซื้อ OPPO Reno8 5G และ OPPO Reno8 Pro 5G จะได้รับของสมนาคุณเป็น OPPO SPORT BAG มูลค่า 2,499 บาท และให้คุณเป็นเจ้าของ OPPO Reno8 Series 5G ได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อซื้อผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย ในราคาเริ่มต้นเพียง 5,990 บาท ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 15 กันยายน 2565